ใบอนุญาตเลขที่ : 11/02024
"พุกาม" ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว สมัยก่อนมีเจดีย์และวัดกว่า 10,000 แห่ง แต่เมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้วมีแผ่นดินไหวทำให้เจดีย์หลายองค์ได้รับความเสียหาย ล่าสุดได้มีการเข้าไปสำรวจ ซึ่งยังคงมีวัดและเจดีย์กว่า 2,200 แห่งที่ยังคงอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน พุกามเป็นศูนย์รวมของคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์ ความศรัทธา หรือชอบความสวยงามของทะเลเจดีย์ และเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมายูเนสโกได้รับการขึ้นทะเบียนพุกามให้เป็นแหล่งมรดกโลกประจำปี 2019
ช่วงเวลาที่เหมาะมาเที่ยวพุกาม แนะนำฤดูหนาวเพราะสามารถเที่ยวได้ทั้งวัน ส่วนฤดูร้อนชาวพม่าจะชอบมาตอนประมาณ 4 โมงเย็น ถ้าช่วงเช้าต้องรีบเที่ยวเพราะอากาศร้อนมาก มากสุดเดือนเมษายนสูงถึง 44 องศา นั่นเพราะพุกามเป็นพื้นที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทราย และฝนตกน้อย
กิจกรรมที่พุกามส่วนใหญ่ จะเป็นการไหว้พระทำบุญ แต่สำหรับคนที่อยากจะเน้นชมพระอาทิตย์ เมื่อก่อนเขาอนุญาตให้ขึ้นองค์เจดีย์ได้ ระยะหลังเขาห้ามขึ้นไปเนื่องจากเคยเกิดอุบัติเหตุจึงให้ไปดูตรงเนินแทน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นคือ
- การเช่ามอเตอร์ไซต์ หรือ E-Bike นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถขับได้โดยไม่มีใบขับขี่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายมอเตอร์ไซต์ แต่ถ้าแบตหมดก็ปั่นเป็นจักรยาน
- นั่งรถม้า สัมผัสบรรยากาศแบบย้อนยุค ชมวิวรอบๆเมือง สามารถพบเห็นรถม้าอยู่ตามจุดท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับเส้นทาง สถานที่และระยะเวลาที่ตกลงกันไว้
- หากอยากเที่ยวแบบไฮโซเลยคือ ขึ้นบอลลูน ต้องจองล่วงหน้าทางออนไลน์ โดยระยะเวลาขึ้นบอลลูนประมาณ 1 ชั่วโมง จะเปิดให้ขึ้นแค่ฤดูร้อนกับฤดูหนาว ส่วนฤดูฝนยกเลิกการบริการไปแล้ว หรือยังชมไม่จุใจก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง เที่ยวแบบราชาก็เช่าเฮลิคอปเตอร์บินชม บนอากาศได้เลย
- ถ้าอยากเสียเงินน้อยๆ ก็ไปขึ้นหอคอยได้อยู่แถวชานเมืองห่างจากตัวเมืองมากหน่อย แต่ก็สามารถมองเห็นเจดีย์ได้เล็กน้อย เสียค่าขึ้นประมาณ 500 จ๊าด หรือถ้าพักโรงแรมแถวนั่นก็จะได้ขึ้นฟรี
พุกามขึ้นชื่อเรื่องเจดีย์หากมาแล้วจะต้องมาดูเจดีย์ 4 อย่าง ได้แก่ เจดีย์ที่สวยงามที่สุด เจดีย์ที่ศักดิ๋สิทธิ์ที่สุด เจดีย์ที่สูงที่สุด และเจดีย์ที่แข็งแรงที่สุด
เริ่มที่เจดีย์แรก “เจดีย์ทีโลมี่นโล” ลักษณะองค์เจดีย์เป็นทรงแรกของพุกามสร้างเมื่อ 1,000 ปีที่แล้วเป็นทรงกองฟาง เจดีย์จะตั้งจากพื้นดิน และยกสูงขึ้น ตัวองค์เจดีย์มีความพิเศษตรงที่แผ่นดินไหว ไม่สามารถทำอะไรเจดีย์องค์นี้ได้ เพราะเจดีย์มีการเรียงอิฐเป็นแนวขวาง 15 ชั้นแล้วก็แนวตั้ง 1 ชั้น เป็นการป้องกันแผ่นดินไหวได้ดี ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สร้างไว้ให้ลูกหลานได้ชม
เจดีย์นี้มีประวัติบอกว่ากษัตริย์ผู้สร้างองค์นี้มีลูก 4 คน แต่ว่าลูกคนที่ 4 ฉลาดที่สุด อยากให้เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ว่าถ้าพ่อจะให้ลูกคนเล็กก็จะลำเอียงก็เลยอธิฐานให้ลูก 4 คนมานั่งรวมกันแล้วเอาพระเศวตรฉัตรไว้ตรงกลางแล้วอธิฐานว่าถ้าลูกคนไหนสมควรเป็นกษัตริย์ก็ให้ฉัตรเอียงไปที่ลูกคนนั้น ปรากฏว่าฉัตรก็เอียงไปที่ลูกคนที่ 4 เขาเลยว่าที่โลมี่นโลคือฉัตรก็ต้องการ กษัตริย์ก็ต้องการ
เจดีย์แห่งนี้เมื่อก่อนมีพระพุทธรูปองค์เดียว ด้านเดียว ยุคหลังเมื่อเกือบ 800 ปีที่แล้วจึงมีการแยกออกมาเป็น 4 ด้าน หมายถึง พระพุทธเจ้าที่ประสูติไปแล้ว 4 องค์ เพราะในพระธรรมก็จะมีพระพุทธเจ้าอยู่ 5 องค์แต่ว่าประสูติไป 4 องค์ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคดม และพระพุทธรูปในเจดีย์จะไม่ได้เป็นแบบดั้งเดิมเท่าไหร่แล้ว คอจะสั้นลงแล้ว ตัวก็จะอ้วนขึ้น มีการต่อเติม ผมเป็นดอกบัวตูม หน้าผากจะกว้าง
พระพุทธรูป 4 องค์ไม่ได้สร้างพร้อมกันเพราะเจดีย์แต่ละองค์ใช้เวลาเป็น 10 ปี พุกามตั้งแต่พันปีที่แล้วมากษัตริย์ทุกพระองค์ก็จะบูรณะมาตลอด บางอย่างที่ไม่สวยเขาก็ต่อเติม บางพระพุทธรูปก็จะผิดนิดหน่อย อย่างองค์นี้น่าจะเติมที่เศียรของท่าน รูปร่างกับเศียรก็เลยไม่เท่ากัน น่าจะเสริมเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพราะคนโบราณเขาก็จะดูไม่มีก้นหอย แต่ว่าวัดที่นี่สมัยก่อนมีพระอาศัยอยู่ มีห้องสำหรับพระสงฆ์อยู่ บางวัดไม่มี เดี๋ยวนี้ไม่มีเพราะกลายเป็นโบราณสถานไปแล้ว
เจดีย์ที่สอง “เจดีย์อะโลดอกี้” หรือ วัดสมความปรารถนา เป็นเจดีย์ที่พระเจ้าจันสิตตาสร้างขึ้น ช่วงทำสงครามท่านไม่อยากทำสงครามแล้วท่านก็มาถึงจุดนี้ แล้วท่านอธิษฐานบอกว่าไม่อยากสู้รบหากไปถึงศัตรูก็ขอให้ศัตรูยอมโดยดี ปรากฏว่าศัตรูก็ไม่สู้รบยอมวางอาวุธ ท่านเลยสมหวังจึงสร้างเจดีย์นี้ไว้ แต่เจดีย์นี้เขาบอกว่าจะแสดงปาฏิหาริย์มีแสงสว่างขึ้นมา คนที่ดูแลเป็นพระสงฆ์องค์หนึ่งชื่อว่า อะโลดอกี้ เลยเรียกเจดีย์นี้ว่าเจดีย์อะโลดอกี้
วิธีขอพรเจดีย์นี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเลข 9 หมด ดอกไม้ 9 ดอก ธูป 9 ดอก ทุกอย่างเป็น 9 หมดเลย ส่วนใหญ่คนพม่าจะมาขอเยอะมากเนื่องจากสมหวังเยอะมาก ท่องนะโม 3 จบถ้าถือศีล 5 ได้ก็ถือ ถ้าขอก็จะสำเร็จ
เจดีย์ที่สาม “เจดีย์อนันดา” เป็นเจดีย์ที่ละเอียดและสวยงามที่สุด สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าจันสิตตา หลังจากที่พระเจ้าอนิรุทธิ์ท่านนำศาสนามาเผยแผ่ก็สร้างวัดอนันดาขึ้นมา เจดีย์อนันดาสมัยก่อนจะเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง แต่คนโบราณมาฉาบปูนหมดกลายเป็นสีขาว ทางรัฐบาลอินเดียและพม่าจึงแกะปูนออกให้เราเห็นเป็นบางส่วน ไม่สามารถแกะได้ทั้งองค์
ความพิเศษของเจดีย์อนันดาเวลาพูดเสียงดังๆ จะไม่มีเสียงสะท้อน เพราะมีช่องว่างวางพระพุทธรูปประมาณ 1,000 กว่าช่อง รอบๆผนังนั้นเก็บเสียงไปหมด แต่ละช่องก็จะเล่าประวัติของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด แล้วจะมีสองชั้น ชั้นข้างในเขาว่ากันว่าสมัยก่อนพระสงฆ์จะเดินเวียนเทียน อีกชั้นหนึ่งก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ ตอนที่แผ่นดินไหวทำไมเจดีย์อนันดาถึงไม่พังลงมาเขาบอกว่าอิฐข้างในนี้มันมีลม ลมข้างในพยุงไว้ ทำให้ไม่พังลงมา
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง เวลายืนไกลๆ แล้วมองพระพุทธรูป จะเห็นองค์พระยิ้ม แต่ว่าพอเดินเข้าไปใกล้ๆ จะกลายเป็นหน้าบึ้งแทน สาเหตุที่สร้างไว้แบบนี้เพราะว่า ”คนเราถ้าไม่มีทุกข์ก็จะไม่เข้าวัด” เวลามีทุกข์เข้าวัดมาเห็นพระพุทธเจ้ายิ้มให้เราก็สบายใจ ใจค่อยๆเย็นลง ไปใกล้ๆท่านก็จะไม่ยิ้มเหมือนเทศนาให้เรา
หากเดินออกมาจากนอกเจดีย์จะมีมุมให้ถ่ายรูปตรงข้างสระน้ำ ถ่ายให้เจดีย์สะท้อนกับผิวน้ำก็สวยไปอีกมุมหนึ่ง
เจดีย์ที่สี่ “เจดีย์ธรรมยังจี” เป็นวัดที่สร้างไม่เสร็จ และเป็นโบราณสถานที่ใครๆต่างก็กล่าวถึงวิธีการเรียงอิฐที่สวยงามเป็นระเบียบมากที่สุด ไม่มีใครเทียบได้ในอาณาจักรพุกาม เรื่องราวของที่นี่และผู้สร้าง เป็นเรื่องราวที่น่าสลดใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งของประวัติศาสตร์พุกาม ได้เรียกวัดนี้ว่า วัดคนบาป เนื่องจากกษัตริย์ที่สร้างเจดีย์นี้ได้ฆ่าพ่อ และพี่ชายของตัวเองเพื่อขึ้นครองราชย์ แต่สุดท้ายท่านเองก็ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของพ่อภรรยาตัวเองเพราะท่านฆ่าลูกสาวของกษัตริย์อินเดีย ทำให้เจดีย์ไม่ได้ถูกสร้างต่อ
วิหารนี้โดดเด่นเรื่องการเรียงอิฐที่แข็งแรงที่สุด ใช้อิฐหลายล้านก้อน อิฐพุกามสมัยก่อนจะใช้มีดตัดก็เลยเรียบมาก ไม่ได้เผาแล้วมาเรียง ต้องตัดให้เรียบก่อน การฉาบดีมากแทบจะไม่เห็นรอยต่อเหมือนแค่ขีดเส้น อิฐทุกก้อนสมานกันแนบสนิท ตรงที่เป็นมุมโค้งเป็นการก่อสร้างที่เอาอิฐมาเรียงกันแล้วเป็นโค้งๆ
เจดีย์ในพม่าส่วนใหญ่บนบัลลังก์จะมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวแต่ที่นี่มีพระพุทธเจ้า 2 องค์ หมายถึงพระพุทธเจ้าที่จะประสูติในอนาคต
“วัดมนูหะ” มีเรื่องเล่าอยู่ว่าพระเจ้าอนิรุทธิ์ตอนที่ท่านไปนำศาสนาเถรวาทบริสุทธิ์พระไตรปิฎกมาจากรัฐมอญท่านก็จับกษัตริย์มอญมาอยู่ที่วัดนี้ เนื่องจากพระอรหันต์ให้พระเจ้าอนิรุทธิ์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมา 1 ชุดจากเมืองมอญ แต่กษัตริย์มอญไม่ให้ พระเจ้าอนิรุทธิ์เลยไปทำสงคราม หลังจากชนะก็จับกษัตริย์มอญมาและเอากษัตริย์มาไว้วัดนี้
กษัตริย์มอญที่มาอยู่วัดนี้มาอยู่ในฐานะเชลยท่านไม่มีความสุข ทรงอึดอัดใจมาก ท่านก็เลยร้างเจดีย์นี้ขึ้นมา สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ สร้างแบบทองๆ แล้วท่านก็สร้างเจดีย์ครอบไว้อีกที เจดีย์กับพระพุทธรูปขนาดเกือบจะเท่ากัน เวลาเข้าไปนมัสการท่านก็เห็นว่าทรงอยู่ในที่แคบๆ อึดอัดใจ ซึ่งกษัตริย์ตั้งใจสร้างแบบนั้น คนไทยเลยเรียกวัดนี้ว่า “วัดอึดอัด”
“เจดีย์ชเวสิกอง” เป็นเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในพุกามบรรจุพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าด้วย มีความศักดิ์สิทธิ์หลายอย่างเช่นเขาบอกว่าจุดที่สร้างเจดีย์นี้เป็นเนินทราย แม่น้ำอิรวะดีเวลาไหลผ่านจะต้องผ่านที่เจดีย์นี้แต่แม่น้ำนั้นไม่ไหลผ่าน หรือเอาทองคำเปลวมาปล่อยตรงเจดีย์ทองคำเปลวก็จะไม่ออกนอกเจดีย์เพราะจะดูดเข้าไปหมด และยอดฉัตรของเจดีย์นี้ไม่ได้ใช้เชือกอะไรดึงไว้ก็อยู่ได้ เงาของเจดีย์นี้ไม่ออกจากข้างนอก เวลาฝนตกน้ำจะไม่ค้างบนเจดีย์
เจดีย์จะมีบ่อน้ำเล็กๆ คนโบราณสร้างไว้เพื่อดูว่ายอดฉัตรตรงหรือไม่ตรง ถือเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ ตอนที่พระเจ้าบุเรงนองมานมัสการพุกาม ท่านก็มาถวายระฆังไว้ 1 อัน ปัจจุบันระฆังนี้เข้าเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
สถานที่สุดท้าย “ทะเลเจดีย์” ทำไมพุกามถึงสร้างเจดีย์เยอะเพราะเป็นที่กำเนิดของศาสนาพุทธเถรวาทบริสุทธิ์เนื่องจากพระเจ้าอนิรุทธิ์ท่านนำศาสนาเถรวาทบริสุทธิ์มา ฉะนั้นเลยสร้างเจดีย์ไว้มากมาย ทำไมต้องสร้างเจดีย์เยอะแยะขนาดนี้เนื่องจากว่าเจดีย์ก็หมายถึงตัวแทนของพระพุทธเจ้า ในยุคพระเจ้าอนิรุทธิ์และพระเจ้าจันสิตตาสร้างเจดีย์เยอะที่สุดเนื่องจากสมัยนั้นเศรษฐกิจดี เจริญรุ่งเรือง เขาบอกว่าแม่หม้ายที่สามีตายก็สามารถสร้างเจดีย์ได้ นั่นคือความร่ำรวยของคนพุกามในสมัยนั้น
ดังนั้นจึงทำให้เราได้มีสถานที่สวยๆ วิวสวยๆ ให้เราได้เห็นความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกามสมัยนั้นเมื่อเกือบ 4,000 ปีมาแล้ว ซากอารยะธรรมเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ให้เราได้มาสัมผัสได้มาเห็นด้วยตา ไม่ว่าจะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก บรรยากาศเหล่านี้ก็จะเป็นความทรงจำของเราไปอีกนาน
♥ รูปภาพจาก : ทีมงานควอลิตี้เอ็กซ์เพรส, pixabay.com